วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

บทที่1 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
















1. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)

        ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร โทรคมนาคม

2. ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ

        ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายหลายประการจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการหนึ่ง คือ การประมวลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ (Information) และนำไปสู่ความรู้ (Knowledge) ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน

3. ความหมายของข้อมูล

        ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มีความหมายในการนำไปใช้งาน ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือภาพเคลื่อนไหว


4. ความหมายของสารสนเทศ

        สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลหรือจัดระบบแล้ว เพื่อให้มีความหมายและคุณค่าสำหรับผู้ใช้


5. ลักษณะสารสนเทศที่ดี

เนื้อหา (Content)

ความสมบูรณ์ครอบคลุม (completeness)
ความสัมพันธ์กับเรื่อง (relevance)
ความถูกต้อง (accuracy)
ความเชื่อถือได้ (reliability)
การตรวจสอบได้ (verifiability)
รูปแบบ (Format)

ชัดเจน (clarity)
ระดับรายละเอียด (level of detail)
รูปแบบการนำเสนอ (presentation)
สื่อการนำเสนอ (media)
ความยืดหยุ่น (flexibility)
ประหยัด (economy)
เวลา (Time)

ความรวดเร็วและทันใช้ (timely)
การปรับปรุงให้ทันสมัย (up-to-date)
มีระยะเวลา (time period)
กระบวนการ (Process)

ความสามารถในการเข้าถึง (accessibility)
การมีส่วนร่วม (participation)
การเชื่อมโยง (connectivity)

6. ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System)
        ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่รวบรวม ประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่สารสนเทศ เพื่อใช้ในการวางแผน การพัฒนาตัดสินใจ ประสานงาน และควบคุมการดำเนินงาน

7. องค์ประกอบระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์

        ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการที่ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-based information systems CBIS) มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ (hardware) ซอฟต์แวร์ (software) ฐานข้อมูล (database) เครือข่าย (network) กระบวนการ (procedure) และคน (people)

   

ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยในการป้อนข้อมูล ประมวลจัดเก็บ และ ผลิต เอาท์พุทออกมาในระบบสารสนเทศ
ซอฟต์แวร์ (Software) ได้แก่ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน

ฐานข้อมูล (Database) คือ การจัดระบบของแฟ้มข้อมูล ซึ่งเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน

เครือข่าย (Network) คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และช่วยการติดต่อสื่อสาร

กระบวนการ (Procedure) ได้แก่ นโยบาย กลยุทธ์ วิธีการ และกฎระเบียบต่างๆ ในการใช้ระบบสารสนเทศ

คน (People) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบสารสนเทศ ซึ่งได้แก่ บุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบสารสนเทศ เช่น ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนาระบบ ผู้ดูแลระบบ และผู้ใช้ระบบ


8. ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ

ประสิทธิภาพ (Efficiency)

•  ระบบสารสนเทศทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้กระบวนการประมวลผลข้อมูลซึ่งจะทำให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วระบบสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือมีปริมาณมากและช่วยทำให้การเข้าถึงข้อมูล (access) เหล่านั้นมีความรวดเร็วด้วย

•  ช่วยลดต้นทุน การที่ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ซึ่งมีปริมาณมากมีความสลับซับซ้อนให้ดำเนินการได้โดยเร็ว หรือการช่วยให้เกิดการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนการดำเนินการอย่างมาก

•  ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้เครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ทำให้มีการติดต่อได้ทั่วโลกภายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน (machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรือคนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (human to machine) และการติดต่อสื่อสารดังกล่าวจะทำให้ข้อมูลที่เป็นทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวสามารถส่งได้ทันที

•  ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะหากระบบสารสนเทศนั้นออกแบบ เพื่อเอื้ออำนวยให้หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกที่อยู่ในระบบของซัพพลายทั้งหมด จะทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และทำให้การประสานงาน หรือการทำความเข้าใจเป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น

ประสิทธิผล (Effectiveness)

•  ระบบสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ออกแบบสำหรับผู้บริหาร เช่น ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออำนวยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น อันจะส่งผลให้การดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ไว้ได้

•  ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลิตสินค้า/บริการที่เหมาะสมระบบสารสนเทศจะช่วยทำให้องค์การทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ราคาในตลาดรูปแบบของสินค้า/บริการที่มีอยู่ หรือช่วยทำให้หน่วยงานสามารถเลือกผลิตสินค้า/บริการที่มีความเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญ หรือทรัพยากรที่มีอยู่

•  ระบบสารสนเทศช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/บริการให้ดีขึ้นระบบสารสนเทศทำให้การติดต่อระหว่างหน่วยงานและลูกค้า สามารถทำได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้หน่วยงานสามารถปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/บริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย




ที่มา: http://elearning.northcm.ac.th/it/lesson1-1.asp

บทที่2 ระบบปฏิบัติการ














             


            ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรมควบคุมการทำงาน (ควบคุมการRun) ของโปรแกรมประยุกต์  ทำหน้าที่
โต้ตอบและเป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์และฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ระบบปฏิบัติการ (Operating System :OS) เป็นซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องและอุปกรณ์  ควบคุมและสั่งการให้ Hardware สามารถทำงานได้   เช่น ทำหน้าที่ในการตรวจเช็คอุปกรณ์  Keyboard ขณะเปิดเครื่อง  ถ้าผู้ใช้ลืมเสียบสาย Keyboard ที่ port ด้านหลังของเครื่อง ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบตรวจสอบแล้วไม่พบอุปกรณ์เชื่อมต่อดังกล่าว จะมีข้อความแจ้งเตือนความผิดพลาด  “Keyboard Error”  นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเชื่อมการทำงานระหว่าง User ในการใช้โปรแกรมประยุกต์ (Application Software) ของ user กับระบบเครื่องฯ  อำนวยความสะดวกในการใช้งาน  และเพิ่มประสิทธิ์ภาพของระบบ
                 

         บทบาทและเป้าหมายของระบบปฏิบัติการ (Goals & Roles of an OS)

•         อำนวยความสะดวก ทำให้ผู้ใช้ (user) ใช้เครื่องฯ ได้ง่าย (Operating System Objectives  Convenience)
ทำให้คอมฯ ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน
•         ใช้งานเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency)  จัดการการใช้ทรัพยากรของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
•         เพิ่มความสามารถเพื่อพัฒนาโปรแกรม  (Ability to evolve) เพื่อรองรับให้ผู้ใช้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาโปรแกรมได้อย่างมี ประสิทธิภาพสามารถทดสอบโปรแกรมและสามารถใช้ฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ของระบบ  โดยปราศจากการแทรกแซงของระบบปฏิบัติการในระหว่างการทำงาน

สรุปเป้าหมายและบทบาทของระบบปฏิบัติการ (OS)  สามารถจำแนกได้ เป้าหมายคือ
1.       เป้าหมายหลัก ( Primary goal) คือ  การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ให้สามารถใช้ระบบคอมฯ ได้ง่าย และสะดวกที่สุด (convenience for the user)
2.       เป้าหมายหมายรอง (Secondary goal)  คือ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ
บางครั้ง เป้าหมายนี้อาจขัดแย้งกัน เช่น  ระบบ OS ที่ชาญฉลาดนั้นระหว่างทำงานระบบจะ
ตรวจจับข้อผิดพลาด (Error) อยู่ตลอดเวลา หากพบข้อผิดพลาดระหว่างการทำงานก็จะมีข้อความแจ้ง (Message) แก่ผู้ใช้  และหากมีข้อความแจ้งบ่อยครั้ง ก็จะกลายเป็นการขัดจังหวะการทำงานทำให้ผู้ใช้ ทำงานได้ไม่สะดวก   ดังนั้นการออกแบบระบบปฏิบัติการ (OS) และการออกแบบสถาปัตยกรรมด้านตัวเครื่องควรมีความสอดคล้อง และหาจุดกลางระหว่างกันโครงสร้างระบบปฏิบัติการ (OPERATING SYSTEM STRUCTURES)ระบบปฏิบัติการเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์  ซึ่ง  OS จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานในระดับ Low levelควบคุมและสั่งการเครื่องและอุปกรณ์ได้โดยตรง  สามารถแสดงโครงการการเข้าถึงฮาร์ดแวดร์ ได้ตามรูปด้านล่างนี้

Picture
โครงสร้างการเข้าถึงฮาร์ดแวร์
3. อธิบายหลักการทำงานของ Personal computer Systems  และเชื่อมโยงด้วยว่าสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ อย่างไรบ้าง  ? (CPU, ALU, Control Unit,  Register, Bus, RAM, Input device, Output device)
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System)เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง  โดยทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร  ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์  และทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการควบคุมการสั่งการ ระหว่างโปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities)  และโปรแกรมประยุกต์ของผู้ใช้ (Application Programs)ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยภาษาเครื่องจักร (Machine code)จะสามารถควบคุมและเข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง แต่จะขั้นตอนที่ยุ่งยากในการเขียนชุดคำสั่ง
โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities)โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities)  เป็นโปรแกรมอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการทำงานเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพ แก่ระบบ  เป็นกลุ่มโปรแกรมที่เน้นการจัดการไฟล์ (File)  ควบคุมI/O, อุปกรณ์อื่น  เช่น  การสำรองข้อมูล  การจัดเรียงไฟล์  หรือการเคลียร์Temporary file โปรแกรมประยุกต์  (Application program)เป็นซอฟต์แวร์ที่อยู่ห่างไกลกับฮาร์ดแวร์ ไม่สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง จะต้องอาศัย OS เป็น
ตัว กลางในการเชื่อมการทำงาน โปรแกรมประยุกต์จะถูกเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์ และใช้โปรแกรมภาษาระดับสูงในการพัฒนา  ที่พัฒนาจาก programmer

ระบบปฏิบัติการสนับสนุนการทำงานของระบบในด้านใดบ้าง? (OS Support)
การจัดเตรียมบริการต่าง ๆ  ของ OS ที่มีไว้เพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบ  มีดังนี้
• การพัฒนาโปรแกรม (Program development)
สนับสนุนเรื่องการพัฒนาโปรแกรม  โดยจัดเตรียมบริการต่าง ๆ ให้ผู้พัฒนานั้นสามารถใช้งาน Editor ได้ง่าย สะดวก และหลากหลาย เช่น มี Editor และdebugger สำหรับช่วยโปรแกรมเมอร์ระหว่างเขียนโปรแกรมและตรวจสอบข้อผิดพลาด (Error) โดยระบบปฏิบัติการจะสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆมากมาย เพื่อช่วยผู้พัฒนาโปรแกรมในการสร้างโปรแกรมประยุกต์ขึ้นมาใช้งาน
•  การประมวลผลโปรแกรม (Program execution)
ช่วยในการทำงานและประมวลผลโปรแกรมประยุกต์  ซึ่งการประมวลผลโปรแกรมหนึ่งๆ นั้นจะมีงานที่เข้ามา เกี่ยวข้องมากมาย คำสั่ง ( instruction ) และข้อมูล (data ) จะต้องถูกนำเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก อุปกรณ์ไอโอและแฟ้มข้อมูลที่ต้องการใช้  รวมทั้งทรัพยากรที่จำเป็นอื่นๆจะต้องถูกเตรียมพร้อมใช้งาน ระบบปฏิบัติการจะเป็นผู้ทำงานทั้งหมดนี้ให้โดยอัตโนมัติ
• การเข้าถึงอุปกรณ์ไอโอ (Access to I/O devices )การใช้อุปกรณ์ I/O แต่ละชิ้นจะต้องอาศัยชุดคำสั่งหรือสัญญาณควบคุมของตนเอง ระบบปฏิบัติการจะจัดการในรายละเอียดของการทำงานเหล่านี้  ทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมเหลือเพียงการตัดสินใจว่าจะทำการอ่านข้อมูลหรือบันทึก ข้อมูลเหล่านั้น
•  การควบคุมการเข้าถึงแฟ้มข้อมูล (Controlled access to files)เช่น การการเปิดไฟล์  จะมีกระบวนการทำงานหลายขั้นตอน และในอนาคตกรณีของระบบที่ทำงานกับ ระบบปฏิบัติการหลายระบบ (multiuser  OS) จะมีการเตรียมกลไกในการควบคุมการเข้าถึงไฟล์
การควบคุมการใช้งานแฟ้มข้อมูล นอกจากจะต้องเข้าใจลักษณะโดยธรรมชาติของอุปกรณ์ ที่จะนำมาใช้งานแล้ว ยังต้องเข้าใจในรูปแบบของข้อมูลที่เก็บอยู่ในสื่อจัดเก็บ ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่ในส่วนนี้แทนผู้ใช้ และในกรณีที่ในระบบมีผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อมกันก็จะต้องควบคุมลำดับและวิธี การเข้าถึงแฟ้มข้อมูลสำหรับผู้ใช้ทุกคนด้วย
•  การเข้าถึงระบบ (System access)
การติดต่อระบบ ในกรณีที่เป็นระบบสาธารณะ หรือเป็นระบบที่ใช้งานร่วมกันระบบปฏิบัติการจะควบคุมการติดต่อเข้ากับระบบ คอมพิวเตอร์โดยส่วนรวม และทรัพยากรแต่ละชิ้น ฟังก์ชั่นการติดต่อจะต้องสนับสนุนการป้องกันทรัพยากร และข้อมูลจากผู้ที่ไม่มีสิทธิในการใช้งาน และจะต้องสามารถแก้ปัญหาการแย่งชิงการใช้อุปกรณ์ได้ด้วย  ดังนั้นระบบที่มีการแบ่งปัน ( Share) การเข้าถึงข้อมูลและระบบแบบสาธารณะ (public)   OS จะป้องกัน  (protect) ทรัพยากรจากคนหรืองานที่ไม่ได้รับอนุญาต ตัวอย่างเช่นการป้องกันการเข้าใช้งานเครื่อง Mainframe จำเป็นต้องต้องมีการขออนุญาตเข้าใช้   กำหนดสิทธิ์การใช้งาน   กำหนดการอนุญาตใช้ฮาร์ดแวร์  จะเห็นว่า OS ทำงานมากขึ้นสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อย่างMainframe    ถ้าเป็นเครื่อง  PC เราจะขออนุญาตตัวเองในการเข้าใช้งาน
•  การตรวจจับข้อผิดพลาดและตอบกลับ (Error detection and response)

การตรวจหาข้อผิดพลาดในระบบและตอบกลับ   ข้อผิดพลาด (Error)  มีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่
1)ข้อผิดพลาดที่เกิดจากทั้งภายในและภายนอกตัวเครื่อง(Hardwar) เช่น
•  หน่วยความจำผิดพลาด (memory error)
•  อุปกรณ์ผิดพลาด (device failure)
2)ข้อผิดพลาดที่เกิดจากซอฟต์แวร์ (Software)  เช่น
• หน่วยคำนวณเต็ม (arithmetic overflow)
•  การถูกยับยั้ง  หรือไม่อนุญาตให้เข้าถึงพื้นที่หน่วยความจำ (memory location

การพยายามที่จะเข้าถึงพื้นที่ ที่ไม่อนุญาตในตำแหน่ง ( location) ของหน่วยความจำ ก็จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด (error) ขึ้นได้
•         โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (OS) ไม่สามารถอนุญาตตามการร้องขอของโปแกรมประยุกต์ได้
Note : ในแต่ละกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด   OS มักจะเตรียมการแจ้งกลับ ( response)และพยายามจัดการกับเงื่อนไขของข้อผิดพลาด ( error) ที่เกิดขึ้นและให้มีผลกระทบน้อยที่สุดในการ run program
การตรวจหาข้อผิดพลาดและการตอบสนอง ข้อผิดพลาดสามารถเกิดขึ้นได้โดยสาเหตุต่างๆมากมายขณะที่ระบบกำลังทำงาน ในความผิดพลาดแต่ละกรณีที่เกิดขึ้น ระบบปฏิบัติการจะต้องตอบสนองโดยทำให้เกิดผลกระทบต่อโปรแกรมที่กำลังประมวลผล อยู่ในระดับต่ำที่สุด การตอบสนองโดยทั่วไปได้แก่ การหยุดการทำงานของโปรแกรมนั้น การพยายามทำคำสั่งนั้นใหม่ เป็นต้น
•         การจัดทำบัญชี (Accounting)
–       เก็บรวบรวมสถิติการใช้งานระบบ (collect statistics)
–       ตรวจวัดประสิทธิภาพการใช้งานระบบ  (monitor performance) เช่น เวลาในการตอบสนอง
–       เพื่อเป็นข่าวสารที่จะใช้เป็นประโยชน์ในการยกระดับการทำงานให้สูงขึ้นในอนาคต(used to anticipate future enhancements)
–       ใช้สำหรับออกรายชื่อผู้ใช้  (used for billing users)
บัญชีผู้ใช้ ระบบปฏิบัติการที่ดีจะรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้งานของทรัพยากรต่างๆ และตรวจสอบตัวกำหนดค่าประสิทธิภาพเช่น ระยะเวลาการตอบสนอง ในระบบใดๆ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการคาดเดาการขยายขีดความสามารถของระบบใน อนาคต และในการปรับตัวกำหนดค่าทั้งหลายเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในระบบที่มีผู้ใช้หลายคน ข้อมูลนี้สามารถนำมาใช้ในทางบัญชี เช่น การเรียกเก็บค่าบริการได้

            ระบบปฏิบัติการในฐานะผู้บริหารทรัพยากร (The Operating System as Resource Manager)
ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการเคลื่อนย้าย การจัดเก็บ และการประมวลผลข้อมูลและการควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ระบบปฏิบัติการมีความรับผิดชอบในการบริหารทรัพยากรต่างๆเหล่านี้
อาจมีข้อสงสัยว่า ระบบปฏิบัติการเป็นตัวควบคุมการเคลื่อนย้าย การจัดเก็บ และการประมวลผลข้อมูลหรือไม่ ในมุมมองหนึ่งอาจตอบว่าใช่ เนื่องจากระบบปฏิบัติการจะต้องควบคุมหน้าที่การทำงานพื้นฐานในการบริหาร ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตามการควบคุมนี้เป็นการกระทำในทางอ้อม โดยปกติผู้คนมักจะคิดว่ากลไกในการควบคุมเป็นองค์ประกอบภายนอกของสิ่งที่ถูก ควบคุม หรือย่างน้อยที่สุดก็เป็นอะไรบางอย่างที่มีตัวตนและเป็นส่วนที่แยกออกจาก สิ่งที่ถูกควบคุม
       จากรูป แสดงให้เห็นว่าระบบปฏิบัติการคือผู้บริหารทรัพยากร ส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการซึ่งได้แก่ส่วนที่เรียกว่า เคอร์นอล(kernel) และนิวเคลียส( nucleus)จะถูกเก็บไว้ที่หน่วยความจำหลัก หน่วยความจำส่วนที่เหลือจะถูกใช้ในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลอื่นๆของผู้ใช้ การจัดสรรทรัพยากร(ในกรณีนี้คือหน่วยความจำ) ให้แก่โปรแกรมต่างๆรวมทั้งโปรแกรมระบบปฏิบัติการ จะถูกควบคุมร่วมกันระหว่างระบบปฏิบัติการกับฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่บริหาร หน่วยความจำ ระบบปฏิบัติการจะทำการตัดสินใจว่า จะมอบอุปกรณ์ไอโอตัวใดให้แก่โปรแกรมใดที่กำลังประมวลผลอยู่ รวมทั้งการควบคุมการเข้าถึงและเรียกใช้งานแฟ้มข้อมูล ตัวโปรเซสเซอร์เองก็จัดว่าเป็นทรัพยากรชนิดหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของระบบปฏิบัติการที่จะต้องกำหนดระยะเวลาการใช้งาน โปรเซสเซอร์ในการประมวลผลโปรแกรมผู้ใช้

ภาพรวมอื่นของระบบปฏิบัติการ (Other views of the OS)
•         OS  ทำหน้าที่เป็นผู้จัดสรรทรัพยากรภายในระบบ (resource allocator)
–          ดูและและจัดสรรให้ใช้ทรัพยากร อันได้แก่  ฮาร์ดแวร์ (hardware),ซอฟต์แวร์ (Software) และข้อมูล (data) ในระหว่างการทำงานภายในระบบได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
–     จัดเตรียมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ระหว่างที่โปรแกรมมีการทำงาน
•         OS  ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของโปรแกรม (control program)
–          ควบคุมการประมวลผล (execution) ของโปรแกรมและป้องกันโปรแกรมผู้ใช้จากข้อผิดพลาดและการใช้งานโปรแกรมที่ไม่เหมาะสมในระบบ
–      ต้องควบคุมการทำงานและการจัดสรรอุปกรณ์ ไอโอ (I/O devices)

การประมวลผลข้อมูลของคอมพิวเตอร์
โครงสร้างด้านการประมวลของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
Input — > Process — > Output
แสดงดังภาพตัวอย่างข้าล่างนี้

http://nakizacom.weebly.com/uploads/3/9/9/2/39921295/706413_orig.jpg

  จากรูป อธิบายขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล  ได้ดังนี้
1.  Input : User ทำการ Input data เข้าสู่ระบบ   โดยอาศัยอุปกรณ์ Input device
2.  Process : เครื่องเริ่มทำการประมวลผล  โดยข้อมูลที่ User  Input เข้ามาจะส่งไปเก็บใน
หน่วย ความจำหลัก (Memory :RAM)  จากนั้น Control  Unit จะควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านระบบ Bus system จาก  RAM  ไปยัง  CPU และ ALU   เพื่อให้ทำงานตามคำสั่งระหว่างการประมวลผล  Register จะคอยเก็บชุดคำสั่งขณะที่ loadข้อมูลอยู่  และ Cacheจะ คอยดักชุดคำสั่งที่ CPU เรียกใช้บ่อย ๆ  และคอยจัดเตรียมข้อมูลหรือชุดคำสั่งเหล่านั้นเพื่อเอื้อให้ CPU ประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ซึ่งการประมวลผลของเครื่องนี้จะทำงานตามรอบสัญญาณนาฬิกาของเครื่อง (Machine cycle)

Note:
Machine cycle  หมายถึง  เวลาที่ใช้ในการประมวลผลชุดคำสั่งของเครื่องต่อรอบสัญญาณ นาฬิกา              เป็นเวลาที่ร้องขอการทำงาน เช่น การเรียก (Load)ข้อมูล,  การประมวลผล (Execute)  และการจัดเก็บข้อมูล  ซึ่งใน Machine cycle จะประกอบด้วย ช่วงจังหวะการทำงาน ได้แก่
1.   Instruction time ( I-time)  หมายถึง  ช่วงเวลาที่   Control unit รับคำสั่ง (Fetch)จาก memory และนำคำสั่งนั้นใส่ลงไปใน register    จากนั้น Control unit จะทำการถอดรหัสชุดคำสั่งและพิจารณาที่อยู่ของข้อมูลที่ต้องการ
2. Execution time  หมายถึง   ช่วงเวลาที่  Control unit จะย้ายข้อมูลจาก  memory ไปยัง registers  และส่งข้อมูลให้    ALU จะทำงานตามคำสั่งนั้น    เมื่อALU ทำงานเสร็จ  Control unit จะเก็บผลลัพธ์ไว้ใน memory   ก่อนส่งไปแสดงผลที่ Monitor หรือ Printer
3.  Output : หลังจาก CPU ประมวลผลเสร็จ Control  Unit จะควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านBus  system เพื่อส่งมอบ (Transfer)  ข้อมูลจาก CPU  มายังหน่วยความจำ  จากนั้นส่งข้อมูลออกไปแสดงผลที่ Output device (หากคุณใช้ card เพิ่มความเร็วในการแสดงผลของจอภาพ ก็จะส่งผลต่อความเร็วของระบบได้เช่นกัน) ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล (Data)  เรียกว่า   ข่าวสารหรือสารสนเทศ (Information)
4.  Storage : หน่วยจัดเก็บข้อมูล ซึ่งหมายถึงสื่อจัดเก็บสำรอง เช่น Harddisk,  Disk หรือ CDทำ งาน ลักษณะ คือ  การ Load ข้อมูลเพื่อนำไปประมวลผล: ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บอยู่ใน Harddisk แล้วคุณต้องการ  Load  ข้อมูลขึ้นมาแก้ไขหรือประมวลผล ข้อมูลที่ถูก Load และนำไปเก็บในหน่วยความจำ (Memory: RAM)จากนั้นส่งไปให้ CPUการเก็บข้อมูลเมื่อประมวลผลเสร็จ: เมื่อ CPU ประมวลผลข้อมูลเสร็จ ข้อมูลนั้นจะถูกเก็บอยู่ใน
   หน่วย ความจำ (Memory: RAM) แต่ RAM จะเก็บข้อมูลเพียงชั่วขณะที่เปิดเครื่อง (Power On)  เมื่อไรที่คุณปิดเครื่อง โดยที่ยังไม่สั่งบันทึกข้อมูล (Save)  ข้อมูลก็จะหาย (Loss)   ดังนั้นหาก User  ต้องการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้งานในครั้งต่อไปจะต้องสั่งบันทึก โดยใช้คำสั่ง Save File  ข้อมูลก็จะถูกนำไปเก็บในสื่อจัดเก็บสำรอง ได้แก่  Disk,  Harddisk, CD  หรือ  Thumb Drive แล้วแต่ว่าคุณจะเลือกSave ไว้ในสื่อชนิดใด

โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ (Computer system structures)
ภาพรวมโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบโดยรวม ส่วน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นระบบ ดังนี้
1.  Processor  คือ หน่วยประมวลผล (CPU) ซึ่งเป็นหน่วยในการประมวลผลและควบคุมการทำงาน
2.  Main Memory : หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยความจำจริง(real memory) หรือหน่วยความจำหลัก
(primary memory)  เก็บข้อมูลแบบชั่วคราวลบเลือนได้
3. I/O modules : อุปกรณ์ไอโอ  เป็นหน่วยในการนำเข้าและแสดงผลข้อมูล  เช่น
– อุปกรณ์หน่วยความจำสำรอง (secondary memory devices): เป็นอุปกรณ์สำหรับ
หน่วยความจำประเภทที่ เช่น Disk หรือ  Harddisk หรืออาจจะเป็น File อย่างหนึ่ง  พวก File พิเศษ
– อุปกรณ์สื่อสาร (communications equipment ) : อุปกรณ์ในการสื่อสาร หรือส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างเครื่อง
4.  System bus  : ระบบบัส คือ ช่องทางการขนส่งข้อมูล จะทำหน้าที่ในการเชื่อมข้อ Processor, Main Memory และ I/O modules เข้าด้วยกัน



ที่มา:http://nakizacom.weebly.com/3619363236103610361135993636361036333605363635853634361935883629361736143636362336483605362936193660-operating-system.html

บทที่3 การใช้โปรแกรมประมวลผลคำ








โปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor)
               การประมวลคำ ( Word processing ) เป็นการนำคำหลายๆคำมาเรียงกันให้มาอยู่ในรูปแบบที่กำหนด ซึ่งเราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้มีกี่ตัวอักษรต่อหนึ่งบรรทัด หรือหน้าละกี่บรรทัด กั้นระยะหน้าหลังเท่าใด และสมารถแก้ไขเพิ่มเติมได้อย่างสะดวกจนกว่าจะพอใจแล้วจึงสั่งพิมพ์เอกสารนั้นๆ ออกมากี่ชุดก็ได้ โดยทุกชุดที่ออกมาจากเครื่องพิมพ์จะเหมือนกันทุกประการ เสมือนกับถ่ายเอกสารหรือการทำสำเนา (Copy ) แต่ความจริงแล้วเอกสารทุกแผ่นจะถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์อย่างสวยงามและประณีต โดยปราศจากร่องรอยของการขูดลบใดๆ แลันั่นย่อมหมายถึงการใช้เครื่องคอมพิวเตอรืในการทำงาน เราจะต้องพิมพ์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งอาจเป็นเอกสาร บทความ รายงาน จดหมาย ฯลฯ เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเราสามารถใช้คำสั่งต่างๆ เข้าไปจัดการแก้ไข ดัดแปลง หรือเพิ่มเติมข้อมูลเหล่านั้นได้ตลอดเวลา โปรแกรม ( Program ) หรือชุดคำสั่งที่ทำให้เราสามารถทำงานกับเอกสารและสั่งงานต่งๆ นี้ได้ มีชื่อเรียกว่า โปรแกรมเวิร์ดโพรซสเซอร์ ( Word proccessing ) หรือโปรแกรมประมวลผลต่างๆ
จากความหมายนี้จะเห็นได้ว่า การประมวลผลคำ ( Word proccessing ) หมายถึง การพิมพ์เอกสารโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า เวิร์ดโพรเซสเซอร์ ( Word processer ) ที่มีความสามารถในการสร้าง แก้ไข เพิ่มเติม คัดลอก จัดรูปแบบเอกสาร ตลอดจนการเก็บบันทึกเอกสารนั้นลงในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ เพื่อสามารถเรียกใช้งานภายหลังได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้จะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการทำงาน
วิวัฒนาการของโปรแกรมประมวลผลคำ
โปรแกรมประมวลผลคำที่มีใช้ในประเทศไทยในยุคแรกๆ  นั้น  ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมของต่างประเทศ  เช่น  โปรแกรม  WORDSTAR  ของบริษัทไมโครโปร จำกัด  วึ่งสามารถพิมพ์ข้อความได้เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น  จึงทำให้ไมค่อยได้รับความนิยมจากผู้ชาวไทยมากนัก  ต่อมาในปี  พ.ศ.  2529  นายแพทย์ชุษณะ  มะกรสาร  ได้พัฒนาโปรแกรมผประมวลผลคำที่มีชื่อว่า  ราชวิถี  (Pachavitee  Word  PC  Version  1.0)  ซึ่งโปรแกรมนี้เขียนขึ้นมาด้วยภาษา  Assembly  ทั้งหมด  การใช้งานโปรแกรมจะมีลักษณะเหมือนโปรแกรม  WORDSTAR  แต่สามารถพิมพ์ข้อความภาษาไทยได้หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงเป็นรุ่น  1.1,  1.2  และ  2.0  จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอย่างสูงสุดในเวลาต่อมา
ต่อมาในปี  พ.ศ. 2532  สถาบันบริการคอมพิวเตอร์  และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ร่วมมือพัฒนาโปรแกรมประมวลผลคำภาษาไทยและอังกฤษ  โดยออกให้ง่ายต่อการใช้งาน  และมีความสามารถในการทำงานเช่นเดียวกับโปรแกรมประมวลผลคำอื่นๆ  โดยตั้งชื่อว่า  “ซียูไรต์เตอร์”  (CU Writer)  และประกาศให้ใช้เป็นโปรแกรมสาธารณะ (Public  Domaim)  หมายถึง  ทุกคนมะสิทธิจะลอกเลียน  และนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องดัดแปลงทางฮาร์ดแวร์  โดยรุ่น  (Version)  แรกที่ออกมา  จะเป็นรุ่น  1.1  และได้ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 1.2, 1.3, 1.41, 1.51, 1.52 และ 1.6  โดยทุกรุ่นจะทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ  MS-DOS  ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบเทกซ์โหมด  (Text  Mode)  โปรแกรมซียูไรเตอร์นี้จะมีลักษณะคล้ายกับโปรแกรม  WORDSTAR  โดยจะมีเมนูคำสั่งต่างๆ  ที่ให้ช่วยผู้ใช้สามารถเลือกใช้คำสั่งได้ด้วยการเลื่อนแถบสว่าง (โดยใช้ปุ่มลูกศรบนแป้นพิมพ์)  ไปยังคำสั่งที่ต้องการใช้ซึ่งเป็นภาษาไทย  และกดปุ่ม  <Enter>  ทุกคำสั่งสามารถมองเห็นได้บนหน้าจอโดยไม่จะเป็นต้องอาศัยความจำในการจดจำคำสั่งใช้งานต่างๆ
การประมวลผลคำในปัจจุบันจะใช้ซอฟแวร์  (Software  Suites)  ซึ่งเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป  (Package)  ชุดซอฟแวร์นี้บางทีเรียกว่า  โปรแกรมชุดสำนักงาน  (office  Programs)  โดยบริษัทไมโครซอฟต์คอร์เปอเรชัน  จำกัด  (Microsoft  Office)  ออกกสู่ตลาดครั้งแรกมีชื่อว่า  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  รุ่นที่  4.3  ซึ่งประกอบด้วย  (Word)  เป็นซอฟแวร์ประมวลผลคำ  (Word  processing  Software)  เอกซ์เซล  (Excel)  เป็นซอฟแวร์ตารางทำการ  แอ็กเซส  (Access)  เป็นซอฟเเวร์ด้านฐานข้อมูล  (Database  Software)  พาวเวอร์พอยต์  (PowerPiont)  เป็นซอฟต์แวร์นำเสนอภาพกราฟฟิก  (Presentation  Software)  โดยโปรแกรมเวิร์ดในชุดนี้จะเป็นรุ่น  6.0  หรือที่เรียกว่า  ไมโครซอฟต์เวิร์ด  6.0  ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทไมโครซอฟต์ได้พัฒนาโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  2.0  ออกสู่ตลาดมาก่อนโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดรุ่น  2.0  และ  6.0  นี้  เป็นโปรแกรมที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์  3.1  ต่อมาบริษัทไมโครซอฟต์ได้ทำการปรับปรุงพัฒาโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด  โดยทำการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ  แล้วพัฒนาเป็นโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด  7.0  หรือไมโครซอฟต์เวิร์ด  95 ซึ่งเป็นโปรแกรมในชุดของโปรแกรมชุดสำนักงานที่มีชื่อว่า  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  95  หลังจากนั้นบริษัทไมโครซอฟต์ได้ทำการพัฒนาโปรแกรมชุดสำนักงานมาดดยตลอดอย่างต่อเนื่อง  ดดยผลิตไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  97  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  2000  และไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  เอกซ์  พี  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ 2003  ซึ่งในแต่ละชุดก็จะมีโปรแกรมไมโครวอฟต์เวิร์ด  97  ไมโครซอฟต์เวิร์ด  2000  และไมโครซอฟต์  2002   ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  2003  เป็นโปรแกรมประมวลผลคำ ตามลำดับ
ชุดซอฟแวร์ (Software Suites)  ต่างๆ  ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นส่วนมากจะเป็นโปรแกรมที่ทำงานระบบปฏิบัติการวินโดวส์  (Windows)  ของบริษัทไมโครซอฟต์และเป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์  (Lincens)  หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ  ตลอดจนผู้ใช้งานตามบ้าน  (Home  Uses)  จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าวก่อนนำมาใช้งาน  ซึ่งราคาของชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าวมักจะมีราคาแพง  จึงทำห้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์  โดยนำชุดซอฟแวร์ดังกล่าวมาใช้งานโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมเป็นจำนวนสูงมาก  ดังนั้น  ก่อนการพิจารณาหรือตัดสินใจเลือกใช้โปรแกรมใดๆ  ในการทำงาน  เราจะต้องทราบขอบเขตของงานต่างๆ  ที่ต้องการจะนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการทำงาน  เพื่อจะได้เลือกซื้อหรือจัดหาโปรแกรมให้เหมาะสมกับงาน  และประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อโปรแกรมได้มากที่สุด
แสดงตัวอย่างและรายละเอียดของไฟล์ขณะสั่งเปิด
ขณะสั่งเปิดไฟล์นั้น จะเห็นไดอะล็อกบ็อกซ์   open  (เปิด )  ซึ่งนอกจากจะแสดงชื่อไฟล์ในแต่ละโฟลเดอร์แล้ว  ยังมีคำสั่งที่ช่วยให้ทำงานกับไฟล์ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น  เช่น แสดงตัวอย่างเนื้อหาในไฟล์ก่อนที่จะเปิด
1.   คลิกปุ่ม  Open ( เปิด )
2.   คลิกไฟล์ที่ตต้องการ
3.   คลิกปุ่ม  Views  ( มุมมอง ) แล้วคลิก Preview  ( แสดงตัวอย่าง )  จะเห็นเนื้อหาในไฟล์ที่กรอบด้านขวา
ประเภทของโปรแกรมประมวลผลคำ
ในปัจจุบันโปรแกรมประมวลผลคำแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ
1.  เวิร์ดโพรเซสเซอร์  (Word Processor)
2.  เทกซ์อิดิเตอร์  (Text Editors)
1.       เวิร์ดโพรเซสเซอร์ (Word Processor)
เป็นโปรแกรมประมวลผลคำที่ใช้ในการทำงานด้านการพิมพ์เอกสารที่มีความสูงเช่น การใส่กราฟิก (Grapic)  หรือชาร์ต  (Chart)  ลงในเอกสาร  การสร้างตาราง  การจัดหน้าดอกสารแบบคอลัมน์ระบบอัติโนมัติ  โดยมีชนิดและขนาดของตัวอักษร  (Font)  ให้เลือกใช้มากมายหลายรูปแบบ  ต้วอย่างของโปรแกรมเวิร์ดโพรเซสเซอร์  ได้แก่  โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด
ไมโครซอฟต์เวิร์ด  (Microsoft Word)
เป็นโปรแกรมที่ใช้สร้างเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความในเอกสาร  นอกจากนี้ยังมีความสามารถจัดรูปแบบข้อความ  ใส่ตาราง  ภาพประกอบ  และอื่นๆ  ได้อีกมากมาย  โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดได้มีการพัฒนาขีดความสามารถต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นจัดว่าเป็นโปรแกรมประมวลผลคำที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดในปัจจุบัน  โดยได้รับการยอมรับในประสิธิภาพและความน่าเชื่อถือของโปรแกรม  จึงทำให้ได้รับความนิยมนำไปใช้งานในองค์กรและหน่วยงานต่างๆ อย่างแพร่หลาย
ภาพที่ 1.2 แสดงโปรแกรมไมโครซอฟต์เวริ์ด (Microsoft Word)
2.      เทกซ์อิดิเตอร์ (Text Editors)
เป็นโปรแกรมประมวลผลคำที่มีขนาดเล็ก  เหมาะสำหรับการพิมพ์และแก้ไขเอกสารแบบธรรมดา  เช่น    การใช้ตัวหนา  (Bold)  การใช้ตัวเอียง  (Italice)  โดยมีชนิดและขนาดของตัวอักษรให้เลือกใช้แต่ไม่มากเท่ากับโปรแกรมเวิร์ดโพรเซสเซอร์  เราสามารถพิมพ์ข้อความลงในเอกสาร   จัดเก็บบันทึก  และสั่งพิมพืงานที่ทำนั้นออกทางเครื่องพิมพ์ได้  ตัวอย่างของเทกซ์อิดิเตอร์  ได้แก่  โปรแกรม  WordPad,  โปรแกรม  NotePad  เป็นต้น
โปรแกรม WordPad
เป็นโปรแกรมประมวลผล  (Word Processor)  ขนาดเล็กๆ  ที่ให้มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ  ซึ่งมีความสามารถขั้นพื้นฐานเหมือนฌปรแกรมประมวลผลคำทั่วไป โปรแกรม  WordPad  คือ  ความสามารถในการตัดคำ  (Word  Wrap)  และยังเปิดไฟล์เอกสารของไมโครซอฟต์เวิร์ดได้ด้วย  รวมถึงไฟล์ข้อความล้วนๆ (.txt)
 โปรแกรม  Notepad
เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการแก้ไขไฟล์ข้อความธรรมดา  (Plain  Text)  มีคำสั่งพื้นฐานทั่วไปเช่นเดียวกับโปรแกรมอื่นๆ  ในวินโดวส์  เช่น  คำสั่ง  >  New, File  Open…,  File  Save  หรือ  Save  As…เป็นต้น
ความสำคัญของโปรแกรมประมวลผลคำ
ปัจจุบันสำนักงานทั้งในภาครัฐและเอกชน  ไดมีการนำโปรแกรมประมวลผลคำเข้ามาใช้ในการพิมพ์เอกสารและรายงานต่างๆ  แทนเครื่องพิมพ์ดีดีมากขึ้น  ทั้งนี้จากความก้วหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาความสามารถของตัวประมวลผลหรือโพรเซสเซอร์  (Processor)  และประสิทธิภาพการเก็บข้อมูลของหน่วยงานเก็บข้อมูลสำรองต่างๆ  เช่น  ฮาร์ดดิสก์,  ดิสก์เกตต์  ที่มีความสูงขึ้น  รวมถึงการผลิตเครื่องพิมพ์  (Printer)  ความเร็วสูงประกอบกับราคาเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลงแต่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น  จึงทำให้สำนักงานต่างๆ  หันมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลผลข้อมูล  ตลอดจนการจัดทำเอกสารและรายงานต่างๆ  โดยผ่านโปรแกรมประมวลผล  (Word Processor)  ทำให้บุคคลในสำนักงานมีเครื่องมือช่วยอำนวยความสะดวกในการพิมพ์เอกสาร  บทความ ตลอดจนรายงานต่างๆ  ได้อย่างรวดเร็ว  โดยสามารถจัดข้อความและเเบตัวอักษร แก้ไข  เพิ่มเติม  ปรับปรุง  แทรกข้อความ  รวมข้อความหรือเอกสาร  จัดขอบกระดาษและตรวจดูเอกสารก่อนที่จะทำการพิมพ์เอกสารจริงออกมาทางเครื่องพิมพ์ได้  นอกจากนี้ยังสามารถเก็บบันทึกข้อความเอกสารต่างๆ  ตลอดจนเรียกใช้งานแฟ้มข้อมูลได้เก็บไว่ในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ  เช่น  ฮาร์ดดิสก์,  ดิสก์เกตต์  และซีดีรอม  ฯลฯ  ขึ้นมาใช้งานในภายหลังได้  ทำการทำงานกับเอกสารสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของโปรแกรมประมวลผลคำ
1.  ช่วยในการจัดเก็บและค้นหาเอกสารมีความรวดเร็วมากขึ้น  เพราะงานเอกสารต่างๆ  จะถูกจัดเก็บอยู่เป็นแฟ้มข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ  และสามารถค้นหาและเรียกใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว
2.  ช่วยลดปริมาณกระดาษที่จัดเก็บทำให้ประหยัดพื้นที่ในการเก็บเอกสาร  เพราะเอกสารจะถูกจัดเก็บอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ  ที่มีขนาดเล็กแต่มีความจุในการเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก
3.  ช่วยลดขั้นตอนในการจัดทำเอกสาร  เช่น  ถ้าต้องส่งจดหมายที่มีข้อความเหมือนกันไปให้ผู้รับจดหมายเป็นจำนวนมากอาจทำได้โดยการจัดทำจดหมายเวียน  ซึ่งมีขั้นตอนการทำที่สะดวกและรวดเร็ว  ซึ่งถ้าหากใช้เครื่องพิมพ์ดีดก็อาจจะต้องเสียเวลาในการจัดทำมาก
4.  ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพืเอกสาร
5.  ช่วยสร้างเอกสารให้มีความสวยงาม  ท้้งนี้เพราะผู้ใช้สามารถนำรูปภาพ  รูปวาด ภาพกราฟฟิกต่างๆ  มาแทรกลงในเอกสารได้โดยตรง
6.  ช่วยให้การทำงานกับเอกสารถูกต้องและมีข้อผิดพลาดลดน้อยลง  เพราะผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารได้โดยตรงบนหน้าจอจนพอใจจึงสั่งพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพื์ หรืออาจใช้ระบบการตรวจสอบคำผิดแบบอัติโนมัติ  ในการตรวจสอบการสะกดคำหรือไวยากรณ์ของภาษาก็ได้
คุณสมบัติโดยทั่วไปของโปรแกรมประมวลผลคำ
1.  การดำเนินการตามมาตรฐานเกี่ยวกับการป้อนและแก้ไขข้อมูล
-การย้ายเมาส์พอยเตอรืไปตำแหน่งใดๆ  บนหน้าจอ
-การเลื่อนเอกสารขึ้นลง
-การขึ้นบรรทัดใหม่อัติโนมัติ
-การแทรกและลบข้อมูล
-การค้นหาคำ
-การแทนที่คำที่ต้องการแก้ไขด้วยคำหรือข้อความใหม่
-การตรวจสอบการสะกดคำและไวยากรณ์ของภาษาโดยอัติโนมัติ
-พจนานุกรมคำศัพท์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
2.  การดำเนินการตามมาตรฐานเกี่ยวกับรูปแบบการพิมพ์
-การปรับระยะห่างระหว่างบรรทัดหรือย่อหน้า
-การแทรกสัญลักษณ์และตัวอักษรพิเศษ
-การปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร
-การจัดวางข้อมูลในรูปแบบต่างๆ  เช่น  จัดชิดซ้าย  ชิกขวา  หรือจัดกึงกลาง
-การจัดระยะห่างระหว่างตัวอักษรเป็นสัดส่วน
-การใส่ลำดับเลขหน้า  หัวกระดาษและท้ายกระดาษ
-สามารถจัดหน้าเอกสารได้หลายคอลัมน์ในหนึ่งหน้า
– มีรูปแบบตัวอักษรให้เลือกใช้หลากหลาย
3.  การดำเนินการขั้นสูง
– การแก้ไขคำผิดโดยอัตโนมัติ
– มีการกำหนดข้อความอัตโนมัติ
– มีรูปแบบฟอร์มอัตโนมัต
– มีการจัดรูปแบบโดยอัตโนมัติ
– มีรูปแบบทางคณิตศาสตร์
– มีรูปการเรียงลำดับอัตโนมัติ
-มีคำแนะนำ/ช่วยเหลืออัติโนมัติ
– มีดัชนี  และตารางของเนื้อหา (สารบัญ)
– ทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ  ในชุดสำนักงาน
– สร้างเอกสารรูปแบบ HTML  หรือเว็บเพจได้
โปรแกรมชุดสำนักงานประเภทซอฟแวร์
นอกจากโปรแกรมชุดำสนักงานไมโครซอฟต์ออฟฟิศ (Microsoft  Office)  ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทไมโครซอฟต์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานอย่างแพร่หลายแล้ว ยังมีโปรแกรมชุดสำนักงานประเภทฟรแวร์  (Freeware  Software  Suites)  ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ขายในราคาไม่แพงนัก  แต่มีคุณสมบัติและมีความสามารถในการทำงานไม่ด้อยไปกว่าโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  ให้เราเลือกใช้งานได้อย่างมากมายบนอินเตอร์เน็ต  โดยมีโปรแกรมชุดสำนักงานประเภทนี้มักจะแจกฟรีหรือขายในราคาที่ค่อนข้างถูกมาก  นอกจากนี้ผู้ผลิตโปรแกรมบางรายอาจยินยอมให้ทำการดาวน์โหลด  (Download)  โปรแกรมมาทดลองใช้งานได้ก่อนโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งจะมีการกำหนดจำนวนวันที่เราสามารถใช้งานโปรแกรมได้  เช่น  15,  30,  45 หรือ 60 วัน  และถ้าเราพอใจในคุรภาพและประสิทธิภาพของโปรแกรมก็สามารถสั่งซื้อผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้  ซึ่งจะต้องชำระเงินด้วยบัตรเครดิต  (ต่างประเทศ)  เช่น  บัตร  Visa,  Mastercard  เป็นต้น  เป็นโปรแกรมชุดสำนักงานประเภทฟรีแวร์ได้รับความนิยมในปัจจุบัน  ได้แก่  StarOffice,  โปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ  (Pladao  Office)
โปรแกรม  StarOffice
เป็นโปรแกรมชุดสำนักงานที่บริษัท  Sun  Microsystems  พัฒนาขึ้นมาและสามารถใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย  เช่น  Windows,  Linux  และ  Solaris  (TM)  เป็นต้น  ปัจจุบันได้พัฒนามาจนถึงรุ่น  StarOffice  (TM)  5.2  (และกำลังจะออกรุ่นใหม่ในเร็วๆ  นี้คือ   StarOffice  6.0)  มีขนาดจุ  79-105 เมกะไบต์  (Mb)  1แบ่งออกเป็น  2  รุ่น  คือ  StarOffice  (TM)  5.2  Deluxe full  package  product  จะมีราคา  40  เหรียญสหรัฐ  ( ประมาณ  1,700 บาท )  และ  StarOffice  (TM)  5.2  Slim CD  kit  จะมีราคาประมาณ  10 เหรียญสหรัฐ  ( ประมาณ  500  บาท)  โปรแกรม  StarOffice  สามารถใช้งานได้หลายภาษา  เช่น  ฝรั่งเศษ,  เยอรมัน,  อิตาเลียน,  สเปน,  สวีเดน  ฯลฯ
โปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ  (Pladao  Office)
เป็นโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ   (Pladao  Office)  นี้  เป็นโปรแกรมชุดสำนักงานภาษาไทยที่บริษัทซัน  ไมโครซิสเต็มส์  (ประเทศไทย)  และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอพิวเตอร์แห่งชาติ  (National  Electronics  and  Computer  Tecnology  Center  :  NECTEC)  ได้ร่วมมือกันในโครงการพัฒนาโปรแกรมชุดนี้ขึ้น  โดยพัฒนาต่อยอดมาจากโปรแกรม  StarOffice  ของบริษัท  Sun  Microsystems  ซึ่งเป็นโปรแกรมชุดสำนักงานแบบ  Open  Source  คำว่า  “ปลาดาว”  มาจาก  “Star  Office”  โดย  “Star”  แปลว่า  ดาว  และ “Fice” แปลว่า  ปลา  จึงมีชื่อเรียกว่า  ปลาดาว  โปรแกรมปลาดาวออฟฟิศมีขนาดความจุ  175  เมกะไบต์  (Mb)  สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดโปรแกรมได้จาก  http://www.pladao.com วัตถุประสงค์ของการพัมนาโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศคือ  ต้องการให้คนไทยมีโปรแกรมชุดสำนักงานที่มีความสามารถในการทำงานกับเอกสารภาษาไทยได้และเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์
โปรแกรมหลักในโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ  (Pladao  Office)  ประกอบด้วย
Writer                       โปรแกรมประมวลผลคำ  (Word  Processor)
Calc                            โปรแกรมตารางคำนวณ  (Spreadsheet)
Impress                    โปรแกรมนำเสนองาน  (Presentation)
Draw                           โปรแกรมวาดภาพแบบเวกเตอร์  (Drawing)
Math                          โปรแกรมพิมพ์สมการคณิตศาสตร์  (Equation)
คุณสมบัติของโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ
1.  ใช้ได้กับหลายระบบปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็น  Windows,  Linux,  Solaris
2.  ใช้งานได้ฟรี  ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ    Open  Source
3.  ไม่ว่าจะสร้างไฟล์โดยโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศระบบปฏิบัติการใดก็ยังสามารถนำไฟล์ไปเปิดโดยโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ  บนระบบปฏิบัติการอื่นได้  100  %  (Cross-platform)
4.  สามารถนำไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศไปเปิดบนโปรแกรม  Microsoft  Office  และสามารถนำไฟล์ที่สร้างโดยโปรแกรม  Microsoft  Office มาเปิดบนโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศได้  (แม้จะไม่  100 % )
สร้างเอกสารใหม่
ปกติเมื่อเปิดโปรแกรม  Word  ขึ้นมาก็จะมีการสร้างเอกสารเปล่าให้ใช้ในการทำงานทันที  แต่หากต้องการสร้างเอกสารใหม่ก็สามารถทำได้โดย
คลิกปุ่ม  New  Blank  Document  ( สร้างเอกสารเปล่า )    หรือกด <Ctrl> + <N>
หรือเลือก  File > New  ( แฟ้ม  > สร้าง )  แล้วคลิกเลือก  Blank  Document  (เอกสารใหม่ ) ที่ปรากฏขึ้นด้านขวา
การเปิดเอกสารเก่ามาใช้งาน
1.      ปุ่ม Open  ( เปิด )  หรือกด <Ctrl> + <O> หรือเลือก  File > Open (แฟ้ม > เปิด
ถ้าจะใช้ไฟล์ที่เคยเปิดไว้ล่าสุด  ก็ให้คลิกที่ชื่อไฟล์นั้นใต้เมนูคำสั่ง  File  (แฟ้ม )  ซึ่งปกติจะเก็บไว้เพียง ไฟล์เท่านั้น  ถ้าจะให้เก็บ
มากกว่านี้  ให้เลือก  Tools  >  Options ( เครื่องมือ ตัวเลือก )  ที่แท็บ  General  ( ทั่วไป )  กำหนดจำนวนชื่อไฟล์ที่จะเก็บในช่อง  Recentry used  file  list  ( รายการแฟ้มที่ใช้ล่าสุด ) ได้สูงสุด ไฟล์
2.  คลิกที่ลูกศร   หลังช่อง  Look  in  ( มองหาใน )  แล้วเลือกโฟลเดอร์ที่เก็บเอกสารไว้
3.  คลิกไฟล์ที่ต้องการ
4.  คลิกปุ่ม  Open  ( เปิด )
การแทรกข้อความ
โดยปกติเมื่อเปิดไฟล์เอกสารง่ายๆ ขึ้นมา ตำแหน่งที่จะกรอกหรือพิมพ์ข้อความเข้าไปได้นั้นจะเริ่มที่มุมบนซ้ายของไฟล์  ถ้าจะเริ่มกรอกข้อความที่บริเวณอื่นๆ  ให้เลื่อนเมาส์ไปคลิกตรงบริเวณที่จะกรอกข้อความ  ( หรือจะคลิกแทรกระหว่างข้อความที่มีอยู่ก็ได้ )  เพื่อวางเคอร์เซอร์  ( เส้นสีดำที่กะพริบ )  ไว้ที่ตำแหน่งนั้น  แล้วป้อนข้อความต่อได้ทันที
ขณะเลื่อนเมาส์จะเห็นสัญลักษณ์  i-Beam  ( ไอ-บีม )  บนหน้าจอเลื่อนตามไปด้วย ไอ-บีมของ  Word  นี้จะมีลักษณะและการทำงานต่างกันไปขึ้นกับตำแหน่งที่อยู่ ดังนี้
ถ้าเลื่อนไอบีมไปด้านซ้ายมากๆ  ไอบีมจะเป็น  เมื่อดับเบิลคลิกจะแทรกข้อความที่ตำแหน่งนั้น  และจัดข้อความแบบ  Align  Left ( ชิดซ้ายเสมอกั้นหน้า )
หรือถ้าเลื่อนไอ-บีม ไปตรงกลางๆ  ไอบีมจะเป็น    เมื่อดับเบิลคลิกจะแทรกข้อความที่ตำแหน่งนั้น  และจัดข้อความแบบ  Center  ( กึ่งกลางระหว่างกั้นหน้าและกั้นหลัง
และถ้าเลื่อนไปด้านขวามากๆ  ไอ-บีมจะเป็น  เมื่อดับเบิลคลิกจะแทรกข้อความที่ตำแหน่งนั้น  และจัดข้อความแบบ  Align  Right  ( ชิดขวาเสมอกั้นหลัง )




ที่มา: https://wordprocessingblog.wordpress.com/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%B3-word-processor/